Wat Ratcha Orasaram Ratchaworawihan (Chom Thong)

วัดสวยงาม สะอาด จัดระเบียบได้ดี เงียบสงบ ทางเข้าแคบหน่อย มีที่จอดรถสะดวก มีศาลาริมน้ำ วิวดี ชอบค่ะ

เรื่องเล่าริมทาง วัดราชโอรส ~

วัดราชโอรสหรือวัดจอมทอง ธนบุรี เป็นวัดโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ต้องมาได้ปฎิสังขรณ์ครั้งใหญในสมัยพระบาสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดนี้ถือเป็นวัดแรกที่มีการยักย้ายรูปแบบศิลปผสมผสานกระบวนช่างจีนมาใช้ (ศิลปะพระราชนิยมในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่3) สมัยนั้นมีผู้กล่าวชมถึงความงามในวัดราชโอรสกันมาก เช่นท่านทูตอังกฤษ ครอเฟิด ยังกล่าวชมว่า ทำฝีมือดีนัก ในบทกลอน ก็มีการกล่าวชมถึงความงามไว้ว่า

`อันวัดวาอาวาสประหลาดสร้าง
ยักย้ายหลายอย่างโบสถ์วิหาร
ช่อฟ้าหางหงส์ทรงบุราณ
ไม่ทนทานว่ามักจะหักพัง
พระอารามนามราชโอรส
หน้าบันชั้นลดอย่างฝรั่ง
กระเบื้องเคลือบสอดสีมีผนัง
เป็นอย่างนอกออกปลั่งปลายปลิว
ลางหลังตั้งวงเป็นทรงเก๋ง
จีนสำเพ็งพวกแซ่แต้จิ๋ว
วิชาช่างจ้างทำเป็นแถวทิว
แจกแต้จิ๋วให้ตั๋วตั้งครัวเลี้ยง
หอระฆังทั้งที่วิหารราย
แยบคายมั่นคงทรงเฉลียง
ปูนผิวเต็มดีด้วยฝีเกรียง
พระระเบียงยักอย่างมาข้างไทย
ดูพิลึกตึกสงฆ์สองคณะ
คันถธุระนั้นอยู่เป็นหมู่ใหญ่
วิปัสสนากุฏิเคียงเรียงกันไป
ที่จงกรมร่มไม้รุกขมูล
แท่นศิลาน่านั่งบริกรรม
บำเพ็ญธรรมกรรมฐานที่ศูนย์
พระศรัทธาเป็นเดิมเพิ่มพูน
ยกหนุนศาสนาสารพัด
เหลือมนุษย์สุดสร้างได้อย่างนี้
เป็นยอดทานบารมีโพธิสัตว์
พวกผู้ดีได้อย่างไปสร้างวัด
เป็นทรงนอกออกวัดทุกแห่งมา`

พระยาไชยวิชิต (เผือก) ผู้แต่งกลอน กวีคนสำคัญในสมัยรัชกาลที่2

การสร้างวัดราชโอรสแห่งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นครั้งสำคัญของรูปแบบศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่3 โดยมีเหตุผลสำคัญคือ
ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ซึ่งเดิมทำด้วยไม้ มักผุพังไม่ทนทานจึงเลิกใช้
คันทวยได้เปลี่ยนมาใช้เสาพาไลรอบเพื่อรับน้ำหนักชายคาปีกนก
หน้าบันมีลวดลายจีนฝรั่งผสมผสาน ดั้งคำกลอนที่ว่า พวกจีนสำเพ็งเช่นพวกแซ่แต้จิ๋ว ได้เข้ามาช่วยสร้างและได้สั่งช่างจีนที่มีฝีมือเข้ามา
วัดราชโอรสนี่ถือเป็นการปฎิรูปอันแปลกใหม่ เป็นเหตุให้พวกผู้ดีมีเงิน เจ้านายต่างๆ ได้นิยมนำแบบไปสร้างวัดกันอย่างแพร่หลายสืบมา จนเกิดเป็นรูปแบบศิลปะพระราชนิยมในรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่3

วัดประจำรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีเรื่องราวประทับใจ และความรู้มากมาย ตามหลักฮวงจุ้ย

เป็นวัดที่สวยงามครับ ผสมผสาน ไทย จีน ติดคลอง ร่มรื่น ที่จอดรถสะดวกกว้างขวาง ได้สักการะ พระนอน พระ ยืน พระนั่ง มี หลายมุน ให้สักการะ วัดสะอาด สงบ มากครับ

เป็นวัดที่สะอาด ร่มรื่น สงบ มีศิลปที่สวยงาม ยังคงอนุรักษ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์. เชิญชวนมาร่วมชมศาสนาสถานในช่วงรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3

วัดราชโอรสาราม หรือ วัดราชโอรส ตั้งอยู่ริมคลองสนามไชย ฝั่งตะวันตก (ฝั่งธนบุรี) และติดคลองบางหว้า ทางด้านทิศเหนือของวัด ตั้งอยู่เลขที่ ๒๕๘ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
วัดราชโอรสเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร และถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๓ แห่งบรมราชวงศ์จักรี เป็นวัดโบราณมีมาก่อนสร้างกรุงสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ คือ เป็นวัดราษฎร์ที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เดิมเรียกว่า "วัดจอมทอง" บ้าง "วัดเจ้าทอง" บ้าง หรือ "วัดกองทอง" บ้าง

ในสมัยราชกาลที่ ๓ พ. ศ. ๒๓๖๓ มีข่าวว่าพม่าตระเตรียมกำลังจะยกเข้ามาตีประเทศสยาม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓) ทรงเป็นแม่ทัพคุมพลไปขัดตาทัพพม่าทางเจดีย์ ๓ องค์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้เสด็จประทับแรมที่หน้าวัดจอมทองนี้ และทรงทำพิธีเบิกโขลนทวาร ตามลักษณะพิชัยสงคราม ทรงอธิษฐานให้ประสบความสำเร็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ แต่พม่าไม่ได้ยกทัพมาตามที่เล่าลือกันและเมื่อพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงเลิกทัพเสด็จกลับพระนครแล้ว จึงโปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดจอมทองใหม่ทั้งวัด และถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า "วัดราชโอรส"

ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสถาปนาวัดนี้ ในขณะที่ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอก็ตาม แต่เนื่องจากทรงสถาปนาเป็นการส่วนพระองค์ จึงทรงพระราชดำริเปลี่ยนแปลงแบบอย่างศิลปกรรมตามความพระราชหฤทัย

ดังนั้น วัดราชโอรสจึงตกแต่งด้วยศิลปะจีนเป็นส่วนมาก นับเป็นวัดแรกที่เป็นวัดที่คิดสร้างออกนอกแบบอย่างวัด ซึ่งสร้างกันอย่างสามัญ ศิลปกรรมไทยที่มีอยู่ในวัดนี้ พระองค์ทรงสร้างได้อย่างเหมาะสมกลมกลืนงดงามยิ่งนัก อย่างหาที่ติมิได้ เช่น โบสถ์ วิหาร ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แต่หลังคาโบสถ์เป็นกระเบื้องเคลือบแบบไทย กุฏิพระสงฆ์เป็นอาคารตึกแทนเรือนไม้แบบของเดิมการประดับตกแต่งต่างๆ เป็นแบบจีนผสมไทย เช่น บานประตูหน้าต่างพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ประดับด้วยเสี้ยวกางแทนลายเทพนม หรือลายไทยแบบของเดิม หน้าบันพระอุโบสถ และพระวิหารประดับพระเบื้องเคลือบสี จึงนับเป็นครั้งแรกที่มีการประยุกต์ศิลปกรรมได้อย่างประณีต เหมาะสม เป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนสถานได้อย่างสง่า และงดงาม

สิ่งสำคัญประจำวัดนี้

-พระพุทธอนันตคุณอดุลญาณบพิตร พระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ ๑ วา ๒ ศอก หรือประมาณ ๓. ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๒ วา ๑ ศอก หรือ ประมาณ ๔. ๕๐ เมตร พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระสรีรังคาร ของพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาเจษฎาบดินทร์ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ที่ฐานพระพุทธรูป พร้อมกับถวายพระปรมาภิไธยประจำรัชกาล และศิลาจารึกดวงชันษา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตร ๙ ชั้น) พ. ศ. ๒๕๐๔ พระพุทธรูปองค์นี้กล่าวว่า เป็นพระพุทธรูปที่สร้างได้งดงามกว่า พระพุทธรูปองค์อื่นที่สร้างในสมัยเดียวกัน

-พระพุทธไสยาสน์นารถชนินทร์ ชินสากยบรมสมเด็จ สรรเพชญพุทธบพิตร
พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถในเขตกำแพงแก้วเช่นเดียวกัน แต่พระวิหารมีกำแพงแก้วล้อมรอบโดยเฉพาะอีกชั้นหนึ่ง เป็นพระวิหารขนาดใหญ่ ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ปูนปั้นขนาดยาว ๒๐ เมตร

-พระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร (ปางห้ามญาติ) พระพุทธรูปหล่อโลหะขนาดใหญ่ศิลปะแบบอู่ทอง

-พระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะอยุธยา

-พระพุทธชัยสิทธิธรรมนาท ในศาลาการเปรียญ

พื้นที่ในวัดนี้สงบร่มรื่นมากมีต้นไม้ใหญ่เล็กมากมาย

This temple has already existed at latest in Ayutthaya era. Then when King Rama 3rd was prince, he dropped off here before heading to war. And then after victory of such war, he came back here to rebuild with mixture both Thai and Chinese architecture technics. Even this temple is classified as first royal temple grade, this is so calm enough to leave and forget crowded and noisy atmosphere.

The main temple was built in the reign King Rama III. It was the Chines Architecture style. Worth to visit by long tail boat.

Nice mix Thai and Chinese temple. Along a klong and with lots of big trees/shading and nice cold air-flow.
Nice and quiet!

ครูที่สอนชั้นประถมเป็นลูกศิษย์วัดราชโอรส เคยมาเยี่ยมครูที่วัดเห็นข้างหลังเป็นโรงเรียน ต่อมาได้เข้าเรียนมศ. 1-5 ที่โรงเรียนวัดราชโอรส ปี 2515-2519 ได้ทราบว่าชื่อเก่าคือวัดจอมทอง รัชกาลที่ 3 ได้ทรงปฎิสังขรณ์

เป็นวัดที่สะอาด สวยงาม มีสถาปัตยกรรมที่่ผสมผสานระหว่างไทย จัน อย่างลงตัว อยู่ริมน้ำทางฝั่งธน ทัศนียภาพรอบๆ วัด สงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การเดินเล่น พักผ่อน สะพานข้ามทางรถไฟและข้ามคลองด้านหลังวัด พาให้ไปเจอร้านกาแฟริมน้ำ น่ารักๆ มีเมนูแนะนำคือ พุดดิ้งลำใย และพุดดิ้งมะพร้าวอ่อนที่อร่อยมาก

วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ ที่ตั้งมาก่อน กรุงเทพมหานคร ชื่อเดิมของวัดคือวัดจอมทอง ซึ่งต่อมา พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงสถาปนาวัดจอมทองขึ้นใหม่ทั้งอาราม วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ถือเป็นต้นแบบของวัดไทยสไตล์จีน มีศิลปะแบบจีนมาประยุกต์ให้เข้ากับไทย หน้าพระอุโบสถ ซุ้มประตูทางเข้า จะมีทวารบาล ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู พระประธานในอุโบสถ มีพระนามว่า พระพุทธอนันตคุณอดุลญาณบพิตร นอกจากพระอุโบสถ ยังมีพระวิหาร พระนั่ง พระวิหารพระนอน และพระวิหารพระยืน ด้วยเช่นกัน

เป็นวัดอารามหลวงที่สงบร่มรื่น มีประวัติศาสตร์ที่น่าศึกษามากมาย บรรยากาศดีมาก ติดริมน้ำมีปลามากมาย และได้มาปล่อยปลาที่นี่ด้วยเป็นการทำบุญช่วยชีวิตสัตว์

วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร[1] เป็นวัดเก่าแก่ที่มีมาก่อนการสร้างกรุงเทพมหานคร เดิมชื่อวัดจอมทอง ต่อมาพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงสถาปนาวัดจอมทองขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม เนื่องจากเมื่อครั้งที่ทรงยกทัพไปสกัดทัพพม่าที่ด่านเจดีย์สามองค์ กาญจนบุรีใน พ. ศ. 2363 เมื่อกระบวนทัพเรือมาถึงวัดจอมทอง ฝั่งธนบุรีทรงหยุดพักและทำพิธีเบิกโขลนทวารตามตำราพิชัยสงคราม พร้อมทรงอธิษฐานขอให้การไปราชการทัพครั้งนี้ได้ชัยชนะ แต่ปรากฏว่าไม่มีทัพพม่ายกเข้ามา เมื่อยกทัพกลับ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดจอมทองใหม่และถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่าวัดราชโอรส ซึ่งหมายถึง พระราชโอรสคือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์

สวยงามเลอค่ามาก เป็น วัดประจำรัชกาลที่ 3 ตามเอกสารที่วัดพิมพ์แจกด้วยรูปเล่มกะทัดรัดกระดาษอาร์ต 4 สี สวยงาม ประวัติของวัด ชื่อเดิม วัดจอมทอง มีมาแต่สมัยอยุธยา และรัชกาลที่ 3 มาบูรณะขึ้นใหม่ ตามพระราชอัธยาศัยส่วนพระองค์ คือ นำศิลปะจีนเข้ามาผสมผสานกับศิลปะไทย เช่น แผนผังของวัด เป็นตามแบบฮวงจุ้ยของจีน คือ บ้านจะหันหน้าไปยังน้ำโดยมีภูเขาใหญ่อยู่ข้างหลัง ซึ่งวัดจะมีพระอุโบสถเป็นอาคารประธาน หันหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นคลอง ด้านหลังเป็นวิหารพระนอนขนาดใหญ่ ขนาบสองข้างด้วยวิหารพระนั่งและศาลาการเปรียญ ทางเข้าวัดก็เป็นซุ้มประตูแบบจีน อาคารทั้งหมด ไม่มีการใช้ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ มีเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่รองรับน้ำหนักของหลังคาซึ่งมีความคงทนแข็งแรง หน้าบันก็เป็นลวดลายจีน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบจีน

ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐ์ฐาน พระพุทธอนันตคุณอดุลยญาณบพิตร พระพุทธรูปปางสมาธิประทับภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร เป็นองค์ประธาน ผนังภายในของพระอุโบสถตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังลายเครื่องตั้งเครื่องมงคลอย่างจีน

ภายในพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ขนาดใหญ่ นามพระพุทธไสยาสน์นารถชนินทร์ ชินสากยบรมสมเด็จสรรเพชญพุทธบพิตร

วิหารพระยืน มีสองห้อง ห้องหน้า มี หลวงพ่ออู่ทอง พระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่สมัยอยุธยาตอนกลาง เป็นองค์ประธาน ห้องหลัง จะประดิษฐาน กลุ่มพระพุทธรูปสมัยอยุธยาหลายองค์ สาเหตุที่ภายในวิหารพระยืนเต็มไปด้วยพระพุทธรูปที่เก่าแก่ว่าสมัยรัชกาลที่ 3 นั้นก็เพราะว่าอาคารหลังนี้เคยเป็นอุโบสถของวัดจอมทอง วัดดั้งเดิมสมัยอยุธยาก่อนจะมาเป็นวัดราชโอรสนั่นเอง

ภายในศาลาการเปรียญ ประดิษฐาน พระพุทธชัยสิทธธรรมนาถ พระพุทธรูปปางประทานธรรม ที่หาดูได้ยากมาก เป็นพระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายจับด้ามพัด พระหัตถ์ขวาวางคว่ำที่พระชานุ (เข่า)

วัดที่สร้างในสมัยอยุธยาขณะนั้นยังคงเรียกว่า "วัดจอมทอง" เมื่อกษัตริย์บายีดอองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในพม่าในรัชสมัยของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต (รัชกาลที่ 2) ในปีพ. ศ. 2362 มีข่าวลือว่าชาวพม่ากำลังวางแผนที่จะโจมตีหนุ่มไทยครั้งใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ทั้งหมดเจ้าฟ้าเชสดาบดินทร์โอรสของกษัตริย์จึงถูกส่งไปชายแดนที่ราชบุรีพร้อมกับกองทัพที่เพียบพร้อมเพื่อรับมือกับการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด กองทัพถูกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่เป้าหมายโดยทางเรือผ่านคลอง ตามตำนานกล่าวว่าเจ้าชายไปถึงวัดจอมทองในคืนแรกซึ่งเขาพักค้างคืน เจ้าอาวาสวัดได้คำนวณหาเวลาที่เหมาะสมในการทำพิธีพราหมณ์โบราณเรียกว่าโขนตะวัน ("ขอพรนักรบในวันสงคราม") เจ้าชายสาบานว่าหากเขากลับมาได้รับชัยชนะจากสงครามเขาจะบูรณะวัดใหม่ ดังนั้นเจ้าชายรักษาชายแดนจนถึงต้นฤดูฝน แต่ชาวพม่าไม่ปรากฏตัว แม้ว่าจะไม่มีการสู้รบ แต่เจ้าชายก็รู้สึกผูกพันกับคำสาบานของเขาและเริ่มงานปรับปรุงใหม่ ต่อมาวัดได้รับพระราชทานนามใหม่โดยรัชกาลที่ 2 คือวัดราชโอรส - "วัดพระลูกวัด" ตามที่พระองค์ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่

งานปรับปรุงแล้วเสร็จเมื่อเวลาผ่านไป 14 ปีและในขณะเดียวกันเจ้าฟ้าชายเชสดาบดินทร์ได้รับการสถาปนาเป็นพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ได้พระราชทานยศให้วัดเป็น“ พระอารามหลวงชั้นตรี” และจากนั้นจึงเรียกวัดนี้ว่าวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

เป็นวัดที่มีความประวัติศาสตร์ อันมายาวนาน ของรัชกาลที่ 3 มีพระไสยาสน์หรือว่านอนและศิลปวัฒนธรรมจีนร่วมสมัยขอบพระคุณครับ

มาวัดนี้ประทับใจมาก
เสียดายเวลามีน้อยไปหน่อย
แต่ต้องกลับมาอีก
มีเรื่องราวให้ค้นหาอีกมากมาย

วัดราชโอรสาราม หรือ วัดราชโอรส ตั้งอยู่ริมคลองสนามไชย ฝั่งตะวันตก (ฝั่งธนบุรี) และติดคลองบางหว้า ทางด้านทิศเหนือของวัด ตั้งอยู่เลขที่ ๒๕๘ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
วัดราชโอรสเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร และถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๓ แห่งบรมราชวงศ์จักรี เป็นวัดโบราณมีมาก่อนสร้างกรุงสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ คือ เป็นวัดราษฎร์ที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เดิมเรียกว่า "วัดจอมทอง" บ้าง "วัดเจ้าทอง" บ้าง หรือ "วัดกองทอง" บ้าง

งดงามมากคะ
ได้เห็นงานศิลปจีน และไทย
ทั่ววัด
ยังมีที่ๆน่าเรียนรู้อีกมาก
จะขอมาชมอีกคะ