Wat Nang Ratchawihan
Address | 200 Soi Wutthakat 42, Bang Kho, Chom Thong, Bangkok, Thailand |
Hours | 06:00-18:00 |
Categories | Buddhist Temple, Tourist Attraction |
Rating | 4.7 36 reviews |
Similar companies nearby Wat Prok Yannawa — 1 ซ. วัดปรกวัดปรก, Thung Wat Don, Sathon, Bangkok 10120 Wat Yai Rom — Rama 2 Rd, Bang Mot, Chom Thong, Bangkok Wat Yannawa — 40 Charoen Krung Road, Yan Nawa, Sathon, Bangkok Wat Paknam Phasi Charoen — 300 Ratchamongkhon Prasat Alley, Pak Khlong Phasi Charoen, Phasi Charoen, Bangkok |
Wat Nang Ratchawihan reviews
36วัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะเยอะครับเงียบสงบ ไปกราบสักการะพระประธานรวมถึงรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาส (หลวงปู่เอี่ยม เจ้าคุณผล) ครับ มีที่จอดเยอะเพียงพอครับ
ใครที่ได้มากราบไหว้หลวงปูเอี่ยมแล้ว
แนะนำเดินไปที่พิพิธภัณฑ์ด้วยครับ
มีของเก่าโบราณให้ได้ดูเยอะเลยครับ
รวมทั้งคนที่ดูแลมาต้อนรับ ให้คำแนะนำดีมาก
ชั้นบน มีรูปปั้นเหมือนจริงของหลวงปูด้วยครับ
อยากเป็นสะพานบุญ บอกต่อๆคนที่ยังไม่เคยมา
ให้ลองมาเที่ยววัดหนังราชวรวิหารครับ
เป็นวัดอีกสถานที่หนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนวุฒากาศ แต่ต้องเข้ามาในซอย 42 ซึ่งทางเข้าซอยวัดแคบมาก รถเดินได้เลนเดียว ขับสวนกันไม่ได้ มีที่จอดรถของวัด ตรงข้ามกับโรงเรียนวัดหนัง และแยกศาลาฌาปนกิจ อีกที่หนึ่ง จอดรถแล้วต้องลงเดินประมาณ 40-50 เมตร และภายในซอยยังสามารถทะลุออกทางถนนกัลปพฤษ์ หรืออกทางถนนเอกชัยได้
ซอยดูแคบสักหน่อย. แต่บรรยากาศริมน้ำลมพัดตลอดไม่ร้อน. กราบไหว้หลวงปู่เอี่ยม, ท้าวเวสสุวรรณ. เช่าวัตถุมงคลราคาไม่แพง. เกจิร่วมปลุกเสกหลายท่านแม้ไม่ท่านท่าน. มีให้เลือกหลายพิมพ์หลายรุ่นเก่า-ใหม่. ราคา100ก้อมีให้เช่าบูชา, รูปหล่อราคก้อไม่แพง200ขึ้นแล้วแต่ขนาด
ประวัติ วัดหนัง ราชวรวิหาร
วัดหนัง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดราชวรวิหาร สร้างขึ้นประมาณปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา วัดนี้เป็นวัดโบราณ ร้างมากว่า 200 ปี เดิมเป็นวัดราษฎร์ มีสืบมาแต่โบราณ มีนามว่า “วัดหนัง” มาแต่เดิม และได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ. ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ทำการฉลองวัดหนัง ณ วันที่ 2 ธันวาคม พ. ศ. 2380
พระประธานในพระอุโบสถ หลวงพ่อสุโข เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยสุโขทัยที่อัญเชิญจากวัดร้างในเมืองสุโขทัย (จำนวน ๑, ๒๔๘ องค์) ตั้งแต่รัชสมัย รัชกาลที่ ๑ และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ เป็นที่หมายว่า “มีความสุข” สืบไปเมื่อได้กราบสักการะ
พระภาวนาโกศลเถระ (หลวงปู่เอี่ยม) ชาติกำเนิดเป็นชาวบางขุนเทียน ท่านเกิดเมื่อ วันศุกร์ เดือน 11 ขึ้น 8 ค่ำ จุลศักราช 1149 ปีมะโรง จัตวาศก ตรงกับวันที่ 2 ตุลาคม พ. ศ. 2375 เป็นบุตรของ นายทอง และ นางอู่ ครอบครัวประกอบอาชีพทำสวน ตระกูล หลวงปู่เอี่ยม แต่เดิม มีนามสกุลว่า ทองอู่ แต่ไปคล้ายกับพระนามเจ้าต่างกรมพระองค์หนึ่ง เมื่อครั้งรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามสกุล จึงได้เปลี่ยนเป็น ทองอู๋ และใช้สืบมาจนปัจจุบัน
อายุ 11 ปี ท่านได้เรียนหนังสือที่สำนัก หลวงปู่รอด อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนัง อายุ 11 ปี ได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่วัดเลียบ ในปี พ. ศ. 2387 ท่านมีอายุครบ 22 ปี ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดราชโอรสาราม หรือ วัดจอมทอง ฉายา “สุวณฺณสโร” มีพระสุธรรมเทพเถระ (เกิด) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมเจดีย์ (จีน) กับพระภาวนาโกศลเถร (รอด) เป็นคู่กรรมวาจาจารย์
เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่เอี่ยมได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดนางนอง ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมธุระ ท่านอยู่รับใช้หลวงปู่รอดจนมรณภาพ จึงได้รับนิมนต์จากชาวบ้าน มาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนัง ท่านได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระครูศีลคุณธราจารย์ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ. ศ. 2442 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนเป็นพระภาวนาโกศลเถร ที่พระราชาคณะ
ขณะที่รัชกาลที่ 5 ต้องเสด็จประพาสยุโรป จึงได้มาปรึกษาหลวงปู่เอี่ยม ท่านก็ได้ทำนายไว้ว่าพระองค์ท่านจะบรรลุผลสำเร็จพระบรมราโชบายทุกประการ แต่จะต้องประสบกับสัตว์ที่ดุร้ายในยุโรป และท่านจะต้องทรงขี่มัน หลวงปู่ท่านได้มอบ พระคาถาเสกหญ้าให้ม้ากิน และมอบยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าให้กับพระพุทธเจ้าหลวง เพื่อปกป้องคุ้มครองพระองค์ท่านให้ทรงปลอดภัย สุดท้ายฝ่ายฝรั่งก็ยอมศิโรราบในที่สุด เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงเสกหญ้าให้ม้ากิน และบังคับม้าตัวนั้นได้
สำหรับการสร้างพระปิดตาเนื้อสัมฤทธิ์ ซึ่งประมาณการกันว่า ท่านคงได้สร้างมาตั้งแต่ประมาณปี พ. ศ. 2441 ตอนที่ท่านได้มาครองที่วัดหนังแล้ว และเมื่อคราวบูรณะเขื่อนที่หน้าวัดหนัง ปี พ. ศ. 2463 ก็มีการเททองหล่อพระชัยวัฒน์และพระปิดตาเนื้อสัมฤทธิ์ เพื่อสมนาคุณแก่ ผู้บริจาคเงินช่วยเหลือในครั้งนั้นด้วย
หลวงปู่เอี่ยมถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ. ศ. 2469 สิริอายุ 93 ปี 71 พรรษา ครองวัดหนังนานถึง 27 ปี
จุดสักการะที่สำคัญของวัดนี้
1. หลวงพ่อสุโข พระประธานในโบสถ์
2. พระปรางค์ขาว บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
3. พระพุทธรูปศิลา (พระประธานองค์เดิมของวัดนี้) และพระเจ้าห้าพระองค์ ในพระวิหาร
4. พระเจดีย์บรรจุอัฏฐิ หลวงปู่เอี่ยม
5. รูปเหมือนบูรพาจารย์ในวิหารพระภาวนาโกศลเถร
6. พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่๕
7. ท้าวเวสสุวรรณ ด้านหน้าวิหารพระภาวนาโกศลเถร
8. รอยพระพุทธบาทจำลอง ด้านหลังวิหารพระภาวนาโกศลเถร
วัดหนัง เป็นวัดเก่าแก่ สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ) ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างอยู่กว่า 200 ปี จนมารุ่งเรืองขึ้นเมื่อสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาวัดขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม ด้วยเหตุนี้เองที่วัดหนังไม่ได้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีนตามแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 แต่เป็นวัดแบบไทยๆ เพราะพระบรมราชชนนีของพระองค์ทรงสถาปนาขึ้น
พระอุโบสถก่ออิฐถือปูนขนาด 5 ห้อง มีเฉลียงโดยรอบ หน้าเป็นประดับกระจกเป็นรูปดอกไม้สวยงาม ส่วนภายในพระอุโบสถประดิษฐาน "พระพุทธปฏิมากร" พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยเป็นพระประธาน ประดิษฐานอยู่บนฐานแว่นฟ้า 2 ชั้น ฐานพระ 1 ชั้น แบบชุกชีในพระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ แต่ย่อส่วนให้เล็กลง
พระปรางค์ทรงแปดเหลี่ยมองค์สูงใหญ่ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ สามารถมากราบสักการะกันได้
มาฟังพระสวดและร่วมเป็นเจ้าภาพสวดศพรุ่นน้องที่รักและสนิทกันมากในนามชมรมดนตรีสากลพาณิชย์ธนฯ1คืนมี ทัช ณ ตะกั่วทุ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับผมและเป็นรุ่นพี่ของผู้วายชนซึ่งเป็นนักดนตรีที่เล่นดนตรีให้ทัชด้วยครับ และร่วมฌาปกิจนายขจร มีหิรัญ ซึ่งเป็นคนซอยวัดหนังด้วยครับ
ตั้งแต่เด็กพ่อได้พาเข้าหาหลวงปูผลพ่อได้ไปนั่งพูดคุยบอยมีความศัทธาในหลวงพ่อสั่งสอนแต่สิ่งที่ดีงาม
พระอารามหลวงเก่าแก่ งดงามมาก สวยสะอาด
พระพุทธสุโข พระพุทธรูปเก่าแก่งดงาม
ศาลาอดีตเจ้าอาวาส ที่เปิดให้กราบไห้วขอพร
รวมถึงพระบรมรูปทรงม้าของเสด็จพ่อรัชกาลที่5
พื้นที่วัดกว้างขวาง ร่มรื่น สงบเงียบดี หลวงพ่อสุโขพระประธานในโบสถ์งดงามมาก นั่งสมาธิดีมาก สักการะหลวงปู่เอี่ยมเป็นสิริมงคลแก่ตัว
คนที่มาที่วัดหนังนี้หลายๆคนก็มาเพื่อกราบสักการะหลวงปู่เอี่ยม หลวงปู่ฉัตร และหลวงปู่ผล มีเรื่องที่คนเล่าต่อๆกันมาว่า หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง (พระภาวนาโกศล) ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป หลวงปู่เอี่ยมท่านก็ได้ทำนายไว้ว่าพระองค์ท่านจะบรรลุผลสำเร็จพระบรมราโชบายทุกประการ แต่จะต้องประสบกับสัตว์ที่ดุร้ายในยุโรป และท่านจะต้องทรงขี่มัน หลวงปู่ท่านได้มอบ พระคาถาเสกหญ้าให้ม้ากิน คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" หรือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า" มีตัวคาถาว่า "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ "
กราบหลวงปู่เอี่ยมวัดหนังราชวรวิหาร วันนี้วัดเปิดโบสถ์ วิหาร สวยงามมากๆ ได้กราบขอพรจากหลวงปู่เอี่ยม และเจ้าคุณผล ขอให้ประสพความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง พบเจอแต่ความสุขความเจริญ สาธุ สาธุ สาธุ
อยากให้ทุกๆท่านได้ไปไหว้สัการะหลวงปู่เอี่ยมครับเป็นวัดดังอีกวัดหนึ่งย่านฝั่งธนที่มีเรื่องเล่าเก่าก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาน่าไปมากๆครับ
สวยงามสะอาดสะอ้าน สถาปัตยกรรมโบราณที่สวยงาม เสียดายที่บูรณาการที่ไม่คงอนุรักษ์ของเดิมไว้ ทำให้ดูด้อยค่าลง
วัดหนังราชวรวิหาร พระหลวงปู่เอี่ยม เดิมนามสกุลทองอู๋ คนพื้นเพวัดโคนอนและวัดอ่างแก้ว พระสาริธาตุพระหลังตั้งอยู่ที่วัดโคนอน เครื่อรางพระหลวงปู่เอี่ยมมีหลายอย่างทั้ง้พระเครื่องพระเหรียญ วัดหนังปี พ. ศ. 2515มีกราะสร้างพระเพื่อบรูณะอุโบสถหลังเดิม โดยมีพระหลวงพ่อช้วน, พระครูแสง, พระครูนิด, วัดหนังนั้น เผ่าเชิงตะกอน แบบพระทางวัดภาคอีสานต่อมาได้สร้างเมรุมาศ ไว้ด้านหลัง เครื่องรางลูกคตมะพร้าว ลงรักเก่า เป็นเครื่องรางพระวัดหนังพระเกจิหลายๆรุ่น
วัดหนังอยู่ใกล้กับวัดนางนอง และวัดราชโอรสาราม สามารถเดินเที่ยว 3 วัด ได้ในเวลาไม่มาก วัดหนังมีประวัติว่าสร้างตั้งแต่อยุธยา วัดหนังเคยเป็นวัดร้างอยู่ 200 กว่าปี จนเมื่อสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาวัดขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม วัดหนังไม่จึงเป็นวัดแบบไทย ต่างจากวัดนางนอง และวัดราชโอรสาราม ที่เป็นแบบไทยผสมจีน เมื่อได้เดินผ่านกำแพงเข้าสู่บริเวณพระอุโบสถ จะรู้สึกได้ถึงความสงบ เย็น สบาย
สถานที่ตั้ง ถนนวุฒากาศ ซอย 42 แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม. ทิศตะวันออกติดคลองด่าน -การเดินทาง จากถนนราชพฤกษ์ แยกเข้าถนนวุฒากาศ ขวามือซอยเลขคู่ มีป้ายชื่อวัดหนังเล็กๆปากซอย 42 ข้ามสะพานไปอยู่ขวามือ
-จากจารึกประวัติวัดทราบว่า วัดนี้สร้างมาสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีหลักฐานเป็นระฆังหล่อด้วยโลหะสำริด มีข้อความ พ. ศ. 2260 ก่อนเสียกรุงศรีฯ 50 ปี และหลักฐานพระประธานในวิหาร (โบสถ์เก่า) สร้างด้วยหินทรายแดงแกะสลัก ปางมารวิชัย ได้มีการปิดทับด้วยปูนแล้วลงลักปิดทอง ศิลปสมัยอยุธยา
-หลังเสียกรุงศรีอยุธยา วัดนี้ได้ร้างมานานเกือบ 200 ปี
-ในยุคพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูด้านศิลปวัฒนธรรม การศาสนา และการสร้างวัด
-วัดนี้เริ่มมีการบูรณะครั้งใหญ่ โดยการนำของพระราชชนนีรัชกาลที่ 3 แต่ยังไม่แล้วเสร็จได้ถึงแก่พิลาลัยไปก่อน รัชกาลที่ 3 ได้ดำเนินการต่อด้วยพระองค์เอง จนแล้วเสร็จ โดยสร้างโบสถ์ใหม่ แล้วรื้อโบสถ์เก่าสร้างเป็นวิหาร
-โบสถ์ และวิหารที่สร้างใหม่เป็นแบบในยุคของพระองค์เอง ทรงปั้นหยา ผสมศิลปจีน ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แบบทรงไทยที่ผ่านมา อาคารก่ออิฐถือปูน หน้าบันปูนปั้นลวดลายต่างๆ ประดับกระเบื้องสี หรือถ้วยเบญจรงค์ มีเฉลียงรอบโบสถ์ รอบวิหาร
-ต่อมาในสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งตรงกับ "หลวงปู่เอี่ยม" เป็นเจ้าอาวาส พระองค์ให้ความเคารพนับถือมาก พร้อมกับได้บูรณะวัดครั้งใหญ่อีก ได้สร้างศาลาการเปรียญ ศาลาเล็กภายในกำแพงแก้ว ซึ่งเรียกกันว่า "วิหารคด" เจดีย์ และศาสนสถานอื่นๆ
เป็นวัดหลวงในอดีตมีหลวงปู่เอี่ยมท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่คนให้ความเคารพเชื่อถือมากมายในบริเวณวัดมีโรงเรียนวัดหนังที่มีคุณภาพ
ตามรอยลาดพระบาทเสด็จพ่อร. 5 กราบสักการะหลวงปู่เอี่ยมครับ เมื่อมีเวลาและโอกาสในช่วงนี้ก็จะเข้าวัดบ่อยหน่อยคร้าบ
วัดสวย กว้างขวาง เจ้าหน้าที่ของวัดให้คำแนะนำทุกเรื่องด้วยความเต็มใจ อีกประการ เข้าซอยจากถนนหลักเพียง 300 เมตร